วันนี้ แอดมินจะมาแนะนำการเลือกเครื่องฟอกอากาศที่ดี ควรดูจากอะไรบ้าง มาดูกัน

เรามาเริ่มจากทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าว่า เครื่องฟอกอากาศ (Air Purifier) คืออะไร ?
เครื่งฟอกอากาศ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยขจัดสิ่งปนเปื้อนในอากาศภายในห้องหรืออาคาร เพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในให้ดีขึ้น ซึ่งสามารถกรองไรฝุ่น ขนสัตว์เลี้ยง รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ ควัน และสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ
แล้วทุกคนจำเป็นต้องใช้เครื่องฟอกอากาศไหม ?
แต่เดิมสภาพอากาศในประเทศไทยนั้นค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติดี จึงยังไม่มีความจำเป็นมากสำหรับครัวเรือนทั่วไป แต่ด้วยสถาณการณ์และสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพอากาศที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 ที่สูงมาก หรือเชื้อไวรัส COVID-19 รอบตัวที่ทวีคูณเพิ่มมากขึ้น ก็ทำให้เครื่องฟอกอากาศก็ควรเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่สำคัญต่อสุขภาพ ณ ปัจจุบันนี้
และนอกจากสภาพอากาศแล้ว อาการภูมิแพ้จากการเลี้ยงน้องหมา น้องแมว ก็อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยาวได้เช่นกัน ดังนั้นการมีเครื่องฟอกอากาศที่สามารถช่วงกรอง และดับกลิ่นได้ ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
ทีนี้เรามาดูกันว่า เครื่องฟอกอากาศที่ดี ต้องมีการกรองแบบใดบ้าง ?
เครื่องฟอกอากาศที่ดี ควรมีความสามารถในการกรองฝุ่นละอองที่มีอนุภาคขนาดใหญ่ และอนุภาคขนาดเล็ก เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อโรคต่างๆ ได้ รวมถึงมีความสามารถในการดูดซับกลิ่น ควัน ก๊าซ รวมถึง สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ซึ่งจัดเป็นอากาศพิษ (Toxic Air) ซึ่งในชีวิตประจำวันเราได้รับสารชนิดนี้จากผลิตภัณฑ์หลายอย่าง เช่า สีทาบ้าน ควันบุหรี่ น้ำยาสำหรับย้อมผมและดัดผม สารที่เกิดจากการเผาไหม้และปนเปื้อนในอากาศ น้ำดื่ม อาหาร และเครื่องดื่ม

ในปัจจุบัน ผู้ผลิตเครื่องฟอกอากาศมีการผลิตแผ่นกรองอนุภาคต่างๆ เหล่านี้ออกมา ซึ่งเรียกว่า Filter
โดยการกรอแต่ละชั้นควรประกอบไปด้วย
ชั้นที่ 1 ตะแกรงกรองแบบหยาบ คือ ส่วนที่สามารถกรองเส้นผม หรือฝุ่นขนาดใหญ่ได้ในชั้นแรก
ชั้นที่ 2 Activated carbon filter หรือ Gas & Odor Filter
เป็นชั้นที่ใช้ดูดซับสารอินทรีย์ระเหย (VOCs) รวมถึงเบนซีนและไซลีน เช่นเดียวกับก๊าซหุงต้มไอระเหยสีและวัสดุก่อสร้างและควันบุหรี่ ยิ่งถ้ามีการใช้ Premium Carbon Blend สูงสุด 2.6 กิโลกรัม
ชั้นที่ 3 Medical grade HEPA filter
HEPA Filter เป็นชั้นที่กรองอนุภาคละเอียด สามารถดักจับฝุ่น หรืออนุภาคที่มีขนาดเล็ก ซึ่ง HEPA สามารถแบ่งระดับได้ดังนี้
HEPA Class | Retention (Total) |
E10 | >85% |
E11 | >95% |
E12 | >99.5% |
H13 | >99.95% |
H14 | >99.995% |
ชั้นที่ 4 Titanium Pro UV Module
มีการใช้เทคโนโลยี Photocatalytic Oxidation (PCO) ในการสลายสารเคมีและกลิ่นที่เป็นอันตรายได้อย่างปลอดภัย สามารถฆ่าแบคทีเรียและมลพิษได้สูงสุดถึง 99.95% ของไวรัส และสามารถกำจัดไวรัสที่มีขนาดเล็กถึง 0.01 ไมครอน เมื่อพลังงานแสงยูวีทำงาน จะทำให้ตัวเร่งปฏิกิริยาสามารถสลายสารมลพิษจึงทำให้ปลอดสารพิษได้อย่างปลอดภัย
นอกจากการทำงานของ Filter แล้ว เครื่องฟอกอากาศที่ดีควรมีการทำงานอื่นประกอบด้วย นั่นคือ ..
- วัสดุ และอะไหล่ ที่ใช้ ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค แนะนำให้องค์กรทางการแพทย์ใช้ตัว กรองที่เป็นโลหะซึ่งสามารถป้องกันเชื้อแบคทีเรียและการเพาะพันธุ์ ของเชื้อราได้ดีกว่ากระดาษ ไม้ และวัสดุที่ทำมาจากโฟม การใช้กระดาษ ไม้ หรือโฟม มาเป็น ส่วนประกอบในการเป็นวัสดุแผ่น Filter นั้น จะมีผลทำให้แผ่นกรองมี ความชื้น ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อราและแบคทีเรียให้เติบโตได้

- ปลอดโอโซน (OZONE Free) หลายๆ ท่านอาจจะเข้าใจว่า ถ้ามีโอโซน แสดงว่าเป็นอากาศที่บริสุทธิ์สิ *แต่แท้จริงแล้ว โอโซน ไม่ใช่อากาศที่มนุษย์เราใช้ในการหายใจ โอโซนเป็นก๊าซ ไม่มีสีแต่มีกลิ่นเหม็นคาว ซึ่งเป็นพิษต่อระบบหายใจของสิ่งมีชีวิต โอโซนมีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยา จึงมักจะเกิดปฏิกิริยากับสารอื่นๆในสิ่งแวดล้อม ความรู้สึกที่ว่าโอโซนดับกลิ่นทำให้ อากาศสดชื่นนั้นความจริงเกิดจากการที่โอโซนเข้าทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของสารที่มีกลิ่นให้กลายเป็นอีกโมเลกุลซึ่งไม่มีกลิ่น ทำให้เรารู้สึกสดชื่นนั่นเอง ไม่ใช่เป็นเพราะโอโซนอย่างที่เราเข้าใจกัน ซึ่งผลเสียของโอโซนในระดับความเข้มข้น 0.25 ppm ขึ้นไปก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อ ตา จมูก และจะทำลายเนื้อเยื่อปอด เกิดความระคายเคืองเมื่อหายใจเข้าไป ถ้าได้รับในปริมาณมากจะทำให้ตายได้ ดังนั้นการนำมาใช้ควรระมัดระวัง เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ( ขอบคุณข้อมูลจาก สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยมหิดล )

แล้วถ้าเราจะตัดสินใจซื้อเครื่องฟอกอากาศล่ะ ต้องนำปัจจัยใดมาพิจารณาบ้าง ?
แน่นอนว่า นอกจากเราจะเลือกจากใส้กรอง Filter ที่มีประสิทธิภาพที่ดีแล้ว ยังจะต้องดูปัจจัยหลักอื่นๆ ดังต่อไปนี้ด้วย ( ขอบคุณข้อความจาก สถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ )
ค่า CADR ปัจจัยสำคัญของการพิจารณาซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) คือ ค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) แสดงถึงปริมาณอากาศทั้งหมดที่ได้รับการทำให้บริสุทธิ์โดยเครื่องฟอกอากาศ ยิ่งค่า CADR ที่แสดงบนเครื่องสูงเท่าไหร่ แสดงว่าเครื่องฟอกอากาศทำงานมีประสิทธิภาพดีมากเท่านั้น
ขนาดของห้อง ใช้หลักการเดียวกันกับการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศเลยก็ว่าได้ ยิ่งห้องมีขนาดใหญ่เท่าไร ก็ต้องเลือกซื้อ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น เพื่อจะได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นวิธีการคือวัดขนาดกว้าง ยาวของห้อง แล้วดูค่าเปลี่ยนถ่ายอากาศทุกชั่วโมงของ เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ว่าค่าคือเท่าไร
ระดับเสียง เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ที่ดีควรมีระดับเสียงต่ำขณะทำงาน เพราะผู้เป็นภูมิแพ้บางคนอาจต้องเปิดเครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ขณะนอนหลับ ดังนั้นจึงควรเลือกระดับเสียงในการทำงานที่มีค่าประมาณ 30-31 เดซิเบล ส่วนใครที่ไม่คิดว่าจำเป็นต้องใช้งานตอนกลางคืน อาจข้ามเรื่องเสียงไป
ประหยัดค่าไฟ ส่วนหนึ่งที่ทำให้มีผลต่อค่าไฟคือแผ่นกรอง ถ้าแผ่นกรองหนาแน่นมากอากาศผ่านได้น้อย จะยิ่งทำให้เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ทำงานหนัก และกินไฟ ดังนั้นควรเลือก เครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier ) ที่มีแผ่นกรองแบบที่อากาศไหลผ่านได้ดี รวมทั้งให้พิจารณาฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ร่วมด้วย
ระบบการใช้งานต่างๆ เรื่องระบบการใช้งานต่างๆ นั้นขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าต้องการตอบสนองความสะดวกสบายของตนเองมากน้อยแค่ไหน เช่น ระบบที่สามารถปรับระดับความเบา ความแรงของเครื่องฟอกอากาศ ( Air Purifier )ได้เองโดยอัตโนมัติ รวมทั้งควรมีฟังก์ชั่นการตั้งเวลาเปิด-ปิดเพื่อให้เครื่องสามารถหยุดการทำงานในขณะที่เราหลับหรือไม่อยู่บ้าน
